รีวิวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจาก MONIQUE BEAUTÉ (ตอนที่ 4) + Sunscreen ขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุงผิวที่สำคัญ

ผลิตภัณฑ์ตัวต่อไปนี้ที่อยากแนะนำให้ได้ลองใช้กันก็คือครีมกันแดดค่ะ ครีมกันแดดบอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่สำคัญมากเพราะปัญหาผิวคล้ำเสีย ฝ้า กระ จุดด่างดำและริ้วรอยต่างๆนั้น นักวิจัยและผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณต่างสรุปเป็นเสียงเดียวกันค่ะว่า แสงแดด เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ แต่ Sunscreen

ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่หาใช้ให้ถูกใจยากมากเช่นกัน อย่างตัวแนนเองเป็นคนไม่ชอบทากันแดดเลยอย่างที่เคยได้บอกไป เพราะเกลียดมากกับครีมอะไรก็ตามที่มันเยิ้มเหนอะหนะ และส่วนใหญ่ครีมกันแดดมักเป็นเช่นนั้น มารู้ตัวอีกทีคือมันก็ช้าไปเหมือนกันนะ ดังนั้นครีมกันแดดของ
MONIQUE ที่อยากจะแนะนำให้ได้ลองใช้กันนั้นจะเป็นเนื้อครีมที่ไม่เหนียวไม่เหนอะ ควบคุมความมันได้ดีและป้องกันรังสี UV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าใครตามหาครีมกันแดดลักษณะนี้อยู่แนนขอแนะนำให้ลองค่ะ

Ad-10

THE ESSENTIAL™ UV PROTECTION GENTLE SPF50+/PA+++

ผลิตภัณฑ์กันแดดสูตรบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบเหนียวเนอะหนะ ที่สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ด้วยค่า PA+++ และ UVB ด้วยค่า SPF 50+ สามารถป้องกันผิวหน้าได้อย่างยาวนาน มอบความชุ่มชื้นให้ผิวเปล่งปลั่งเรียบเนียนโดยไม่ทิ้งคราบขาวบนใบหน้า

เนื้อครีมบางเบาซึมง่ายไม่เหนอะหนะ
ให้การปกป้องผิวจากแสงแดด ป้องกันรังสี UVA และ UVB ด้วยค่าการปกป้อง SPF50+/PA+++
ควบคุมความมันส่วนเกิน และให้ความรู้สึกสดชื่นแก่ผิวคุณ
ทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งตึง แม้ต้องเผชิญแสงแดด

DSCF4955

ผลิตภัณฑ์บรรจุในหลอดบีบสีขาวนะคะ ขนาดบรรจุ 20 กรัมค่ะ

DSCF4956

เนื้อกันแดดจะเป็นลักษณะเนื้อครีมสีขาวแบบนี้นะคะ ดูเผินๆอาจจะคิดว่าเนื้อเหนียวข้นนะ แต่จริงๆแล้วไม่เหนียวอย่างที่คิดนะคะ

z1

การเกลี่ยครีมลงผิวก็จะคล้ายกับการทาครีมปกติ กันแดดของเราตัวนี้จะไม่ได้ลื่นเหมือนกันแดดอื่นๆ เนื้อจะค่อนข้างแมทแต่เกลี่ยง่ายซึมไวเนื่องจากเป็นครีมกันแดดที่ไม่ได้เน้นหนักในส่วนผสมที่เป็นซิลิโคน และด้วยเทคโนโลยีการทำให้สารกันแดดต่างๆมีอนุภาคที่เล็กก็เลยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวทำละลายที่เป็นน้ำมันมาก ทำให้ครีมกันแดดของเราไม่เหนียวเหนอะหนะและคุมความมันบนใบหน้าได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

DSCF4963

หลังเกลี่ยครีมกันแดดเรียบร้อย บริเวณที่ทาครีมกันแดดครีมได้ซึมกลืนไปกับผิวหมดแล้วโดยไม่ทิ้งคราบขาวให้เห็น ครีมกันแดดของเราผลิตโดยใช้สารกันแดดที่ผสมผสานระหว่างชนิด Physical Sunscreen และ Chemical Sunscreen เนื่องจากสารกันแดดชนิด Physical นั้นข้อเสียของเค้าคือจะทำให้หน้าขาววอกมาก เราจึงเลือกใช้สารกันแดดกลุ่ม Physical ที่มีอนุภาคเล็กและผสมกับสารกันแดดกลุ่ม Chemical Sunscreen เข้าไปช่วยในสัดส่วนที่ลงตัวและเหมาะสม ทำให้หลังจากทาครีมกันแดดตัวนี้ไปแล้วจะไม่ไดทำให้หน้าขาวลอยขึ้นมา ยังคงเฉดสีหน้าเดิมตามธรรมชาติและยังติดทนนานได้ดี สามารถกันน้ำได้พอสมควร ดังนั้นคนเหงื่ออกง่ายก็สามารถใช้ได้ค่ะ  

DSCF4965

เปรียบเทียบลักษณะของเฉดสีผิวที่ทาครีมกันแดดและไม่ได้ทาครีมกันแดดนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากเลย คนที่มีผิวที่เข้มสามารถทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมเป็นกลุ่ม Physical Sunscreen ได้อย่างสบายเลยค่ะ

สำหรับที่แนนได้แจกเทสเตอร์ครีมกันแดดตัวนี้ไปแล้วนั้นพบว่า สาวๆที่ชื่นชอบและชื่นชมส่วนใหญ่มักจะเป็นสาวผิวมันหรือคนที่เคยใช้ครีมกันแดดที่เหนียวเหนอะมาก่อน หลังจากลองใช้สิ่งที่ชอบกันมากเลยก็คือ หลังทาไปแล้วรู้สึกได้ว่าหน้าเบาสบายกว่าที่เคย ความมันระหว่างวันบนใบหน้าลดลง ก็คือครีมกันแดดตัวนี้ไม่ไปสร้างภาระให้กับหน้ามากนั่นเอง

*** ดังนั้น สาวๆคนไหนที่ยังลังเล โดยเฉพาะสาวๆที่มีปัญหาความมันบนใบหน้าแต่อยากใช้ครีมกันแดด เชิญได้เลยนะคะ หรือสาวๆที่ลังเลยังไม่ชินกับครีมกันแดดที่เป็นลักษณะเนื้อแมทๆแบบนี้ อยากลองจะลองก็เชิญเข้ามาได้เลยน๊าาาา แนนยินดีให้คำปรึกษากับทุกๆคนเลยค่ะ ^_^

ทำไมการปกป้องผิวจากรังสี UV จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

46385

รังสี UV ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้แต่ในวันที่ฝนตกที่เมฆบดบังดวงอาทิตย์ รังสี UV ยังคงลอดทะลุผ่านเมฆลงมาได้ และกว่า 90% ของปัญหาผิวเสียต่างๆเกิดจาก UV ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นต่อให้คุณลงทุนกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกระปุกเป็นพันเป็นหมื่นแต่คุณละเลยที่จะทาครีมกันแดดก็คงจะไม่มีประโยชน์กับการบำรุงผิวเลย

image

ในแสงแดดประกอบด้วยรังสีที่เป็นอันตรายต่อผิวที่สำคัญคือ รังสี UVA และ UVB อันที่จริงจะมีรังสี UVC ด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด แต่เนื่องจากดูดซับโดยชั้นบรรยากาศไว้หมดจึงไม่สามารถทำอันตรายต่อผิวได้ (แต่อนาคตก็ไม่แน่นะถ้าหากชั้นบรรยากาศถูกทำทำลายไปมากๆ…) ดังนั้นขอพูดถึงแค่ 2 ตัวคือ UVA และ UVB ก่อนนะคะ

รังสี UVA (A=Aging) จะมีความยาวคลื่น 320-400 nm มีทั้ง UVA-I และ UVA-II ต่างกันที่ความยาวคลื่น รังสีนี้มีอิทธิฤทธิ์สามารถทะลุทะลวงลงไปยังชั้นหนังแท้ได้เลย สามารถทะลุผ่านกระจกได้และไม่ขึ้นอยู่กับช่วงวันเวลาใดๆ ถ้าได้รับมากเกินไปจะไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เกิดการเหี่ยวย่นและแก่ก่อนวัย นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งที่ผิวหนัง (เมื่อได้รับรังสีนี้มากเกินไป) อีกด้วย

รังสี UVB (B=Burning) จะมีความยาวคลื่น 290-320 nm รังสีนี้จะทะลุเพียงชั้นหนังกำพร้าด้านบนสุดหรือถ้าลงได้ลึกสุดก็หนังแท้ด้านบนๆ เท่านั้น จะพบคลื่นรังสีนี้มากสุดในช่วง 10 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมง ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกได้ ถ้าเราได้รับรังสี UVB มากเกินไปก็จะมีอาการดำ ผิวเปลี่ยนสี และเกิดอาการไหม้เกรียมแดด (sunburn) ทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน คล้ำแดด และถ้าได้รับในปริมาณมากก็อาจจะทำให้เกิดเป็นมะเร็งที่ผิวหนังได้เช่นกัน

รู้หรือไม่ว่า ผลกระทบจาก UVA นั้นร้ายกาจยิ่งกว่า UVB ?

Sun-Damage_5

กว่า 95%ของรังสี UV ในแสงแดดล้วนแล้วแต่เป็นรังสี UVA แต่ก็ไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์กันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ ฉะนั้นคุณต้องอ่านรายละเอียดให้ดีก่อนการตัดสินใจซื้อ

-UVA ทะลุทะลวงสูงไม่ถูกขวางกั้นโดยก้อนเมฆ
-UVA มีปริมาณสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน
-UVA มีปริมาณสูงในทุกฤดู
-UVA ทะลุผ่านกระจกบางได้
-UVA ถูกดูดซับในปริมาณสูง โดยไม่มีอาการแสดงให้เห็น

  1. รังสี UV โดยเฉพาะUVA จะทะลุผ่านเซลล์ผิวหนัง เข้าไปยังเซลล์ภายในผิวหนัง ไปกระตุ้นเซลล์สร้างสีผิว (melanocyte) ให้สร้างสีผิว (melanin) มากขึ้น ในระยะยาวจะทำให้ผิวหน้าเริ่มมีจุดด่างดำรอยหมองคล้ำ ฝ้าและกระเกิดขึ้น

    Sunbed-my-face-comp1.0

  2. รังสี UV โดยเฉพาะ UVA จะเข้าไปรบกวนกระบวนการสร้างคอลลาเจน เกิดการสะสมเส้นใยอีลาสตินที่ผิดปกติ ไม่สามารถทำหน้าที่ในการพยุงผิวได้ ผิวก็จะขาดความกระชับ และเมื่ออีลาสตินที่ผิดปกตินี้ถุกสะสมในปริมาณที่มากก็จะไปกระตุ้นให้เกิดเอนไซน์ที่ไปทำลายคอลลาเจนเกิดเป็นคอลลาเจนที่ผิดรูป เรียกว่า Solar Scars และถ้าไม่ได้รับการปกป้องถูกทำลายซ้ำซากจาก Solar Scars ก็จะเปลียนมาเป็นริ้วรอย (Wrinkle) นั่นเอง
  3. รังสี UV ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งผลจากอนุมูลอิสระนั้นก็มากมาย ซึ่งถ้าเกิดวงจรอนุมูลอิสระซ้ำๆวนไปเรื่อยๆก็จะทำให้เกิดความผิดปกติในระดับยีนตามมานำไปสู่การเกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้นั่นเอง
  4. รังสี UV ต่อระบบภูมิคุ้มกัน รังสี UV มีผลทำให้เซลล์ Langerhans (เซลล์ที่มีหน้าที่ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และน้ำเหลืองให้จับสัญญาณของสิ่งแปลกปลอมได้ถูกทำลาย ร่างกายไม่สามารถปกป้องตนเองส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง

o-BILL-MCELLIGOTT-SUN-DAMAGE-570

กรณีของชายคนนี้ถึงผลกระทบจากรังสี UV ที่มีต่อผิวหนังค่ะ เคสนี้อายุ 69 ปี เป็นคนขับรถบรรทุกขับมาตั้งแต่อายุ 25 ปี และรถที่ประเทศเค้าจะขับพวงมาลัยซ้ายทำให้หน้าซีกซ้ายนั้นได้รับรังสี UV โดยตรงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้เกิด เส้นใยอีลาสตินที่ผิดรูปเป็นลักษณะก้อนนูน ทำให้ชั้นผิวหนังด้านนอกมีความหนาเพิ่มมากขึ้นและยังมีความผิดปกติเกี่ยวกับรูขุมขนอีก ที่ยกกรณีของชายคนนี้มาเพราะค่อนข้างชัดเจนถึงผลกระทบจากรังสี UV โดยเพาะ UVA ที่สามารถทะลุผ่านกระจกได้ เพราะหน้าอีกซีกนึงผลกระทบที่ได้รับน้อยกว่ามาก เราควรจะให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากเลยนะคะกับการปกป้องผิวเราจากการโดนทำร้ายจากแสงแดด

ตัววัดประสิทธิภาพการป้องกัน UV

SPF (Sun Protection Factor) เป็นค่าที่ระบุให้ทราบถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVB เป็นจำนวนเท่าของปกติที่ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ทำให้ผิวเริ่มแดง

ยกตัวอย่างกรณีใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50

ถ้าปกติเมื่อคุณอยู่กลางแดดเป็นเวลา 1นาที (ตามลักษณะประเภทสีผิว) ผิวคุณจะเริ่มแดง และเมื่อคุณทาครีมกันแดด SPF 50 นั่นหมายความว่า ผิวเราจะได้รับการปกป้องนานขึ้น 50 เท่า หรือคิดง่ายๆคือ 10 นาที x 50 (ค่าของ SPF) = 500 นาที อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่ทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวเลย เมื่อคุณต้องออกไปอยู่ในสถานที่แดดแรงจัดๆ ผิวของคุณก็จะเกิดอาการแดงและคล้ำได้ภายใน 10 นาที (ตามลักษณะประเภทสีผิว)และหากเป็นเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง ผิวของคุณก็เกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอย และแก่ก่อนวัย รุนแรงมากซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งผิวหนังได้

Calculate-SPF-and-PA-2

PA (Protection Grade of UVA) ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซึมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งจะมีมาตรฐานในการวัดที่เป็นที่นิยมอยู่ 2 แบบ คือ

  1. Peristent Pigment Darkening (PPD, UVA-PF) PPD ใช้หลักการคล้าย SPF แต่เปลี่ยนจากอาการแดงมาเป็นอาการดำคล้ำจากการโดนรังสี UVA เป็นเวลา 2-3 ชม
  2. Protection Grade of UVA (PA) วิธีการนี้จะใช้ระบุในครีมกันแดดของญี่ปุ่นและแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ

PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด 

ผลิตภัณฑ์ที่ระบุบนฉลากว่ามีค่า SPF 50+ หมายถึงมีค่า SPF50 และ PA+ ใช่หรือไม่

พอดีมีคนถามเข้ามาค่ะว่า THE ESSENTIAL™ UV PROTECTION GENTLE มีค่า SPF50+ หมายความว่ามีค่า SPF = 50 และค่า PA+ ใช่รึเปล่า ต้องขอตอบว่าไม่ใช่นะคะ เนื่องจากทางแล็บเราส่งผลิตภัณฑ์ไปเทสประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UVB ได้ค่า SPF ที่เกิน 50 แต่ทางอย.ของเรากำหนดให้ได้แค่ 50 หากเกินกว่านั้นต้องใส่เครื่องหมาย (+) ต่อท้ายเอาไว้ค่ะ ส่วนค่า PA ที่เป็นค่าที่บ่งบอกการป้องกัน UVA ของเราคือ PA+++ ค่ะ 

ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับปริมาณและวิธีการใช้

ปกติค่า SPF ที่ระบุอยู่บนผลิตภัณฑ์นั้นเกิดจากการทดลองในห้องทดลองโดยวัดปริมาณพื้นที่ในการทา คือ 2mg/cm2 หรือประมาณเท่ากับ 1 ข้อนิ้วมือ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะทาครีมกันแดดบางๆ โดยเฉลี่ยก็จะประมาณ 0.5 mg/cm2-1 mg/cm2 ทำให้หลายๆคนที่ทาครีมกันแดดแต่ก็ยังหน้าดำ หมองคล้ำ อยู่ เพราะสัดส่วนของประสิทธิภาพการปกป้องทั้ง ค่า SPF และ PA นั้นลดลงมากว่าครึ่งนึงเลย และยิ่งคนที่จำเป็นต้องอยู่กลางแจ้งก็ต้องทาซ้ำบ่อยขึ้นทุกๆ 2 ชม จึงจะได้ผล แต่ถ้าถามว่าถ้าให้เราต้องทาครีมกันแดดในปริมาณที่มากขนาดนั้นหน้าก็คงทอดไข่ได้เลย เพราะโดยปกติของผลิตภัณฑ์กันแดดมักจะมีส่วนผสมที่เพิ่มความมันบนใบหน้าผสมด้วยอยู่แล้ว(เพราะมันจำเป็น)ดังนั้นจะให้ทาในปริมาณขนาดนั้นเห็นทีจะไม่ไหวเพราะในชีวิตประจำวันถ้าหากต้องแต่งหน้าด้วยก็จะมีเครื่องสำอางค์อย่างอื่นมาประโคมลงไปอีก มากมายเหลือเกิน โดยส่วนตัวจึงเลือกผลิตครีมกันแดดที่มี SPF สูงไว้ก่อนเพราะคิดว่าถ้าจะให้ทาในปริมาณขนาดนั้นไม่ได้แน่ๆ และพยายามจะเลือกใช้สูตรที่ลดส่วนผสมที่จะไปเพิ่มความมันลงเพื่อที่จะได้ทาครีมกันได้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม

THE ESSENTIAL™ UV PROTECTION GENTLE SPF50+/PA+++ ใช้สารกันแดดอะไรบ้าง?

NANO TITANIUM DIOXIDE เป็นสารกันแดดที่อยู่ในกลุ่ม Physical Sunscreen ที่มีความเสถียรสูง
ทำหน้าที่ในการสะท้อนและกระจายรังสี โดยทำงานครอบคลุมทั้งรังสี UVA และ UVB
ไม่ซึมเข้าสู่ผิว สามารถล้างออกได้ง่าย แต่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองแม้ใช้กับผิวบอบบางอย่างผิวเด็ก หรือผิว Sensitive
มีขนาดอนุภาคระดับนาโนจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาหน้าขาววอกจนเกินไปจากการสะท้อนแสง
ไม่ต้องใช้น้ำมันเป็นตัวทำละลาย จึงช่วยลดปัญหาความมันและสารตกค้างได้เป็นอย่างดี 

BUTYL METHOXYDIBENZOYLMETHANE เป็นสารกันแดดที่อยู่ในกลุ่ม Chemical Sunscreen
สามารถปกป้องผิวจาก UVA ได้ครบทั้ง UVA-I และ UVA-II อันเป็นสาเหตุให้เกิดรอยหมองคล้ำและริ้วรอยอันเกิดจากแสงแดด

OCTOCRYLENE
เป็น UVB Filter ที่สามารถดูดซับรังสีได้ในช่วง 250-360 nm
สามารถเพิ่มค่า SPF ของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น
มีความเสถียรสูงไม่เสื่อมสภาพง่าย และช่วยรักษาเสถียรภาพให้สาร Avobenzone

ENCAPSULATED OCTYL METHOXYCINNAMATE สารกันแดดในกลุ่ม Chemical Sunscreen ที่ผ่านกระบวนการ Encapsulation เพื่อประสิทธิภาพการปกป้องมากยิ่งขึ้นโดยไม่เกิดคราบมัน
ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ผิวหนังเกิดอาการไหม้และแดงได้
สามารถละลายในน้ำได้
ลดปัญหาการดูดซึมลงบนผิวหนัง จึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาจากการระคายเคืองได้
ไม่ก่อให้เกิดความเหนียวเหนอะ

จะเห็นว่าสารกันแดดหลักๆที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ THE ESSENTIAL™ UV PROTECTION GENTLE SPF50+/PA+++ เป็นสารกันแดดที่มีประสิทธิภาพสามารถป้องกันรังสี UV ได้อย่างครอบคลุม ทั้ง UVA และ UVB และด้วยการเลือกใช้สารกันแดดที่มีเทคโนโลยีการทำให้มีอาณุภาคที่เล็กจึงทำให้ล้างออกได้ง่ายก่อปัญหาตกค้างบนผิวหนังได้น้อยลงลดการต้องใช้ตัวทำละลายที่เป็นน้ำมันลง จึงทำให้ครีมกันแดดของเราคุมความมันได้ดีบางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะนั่นเอง

ควรทา Sunscreen ยังไง?

หลายคนสับสนว่าควรทา Sunscreen ยังไง ทาก่อนหรือหลังทาครีมบำรุงตัวอื่นๆ คำตอบคือควรทาเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากทาครีมบำรุงผิวเรียบร้อยแล้วค่ะ เพราะการทำงานของ Sunscreen จะเป็นลักษณะฟิล์มบางๆที่จะคอยป้องกัน UV ถ้าหากเราไปทาครีมบำรุงทับก็จะทำให้ฟิล์มนั้นหลุดออกได้ประสิทธิภาพการป้องกัน UV ลดลง

นกรณีที่เราต้องแต่งหน้าและมีการต้องทารองพื้น (Foundation) หลายคนน่าจะเคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์ Sunscreen ลอกเป็นขุย เพราะเนื่องจากครีมกันแดดโดยปกติต้องขอเวลาเซทตัวอยู่แล้ว ถึงแม้จะบอกว่าเป็น Physical Sunscreen เพียวๆก็เหอะ ดังนั้นถ้าสังเกตุไม่ว่าจะยี่ห้อไรก็ตามมักจะให้ทาก่อนออกไปเผชิญแดด 15-20 นาทีเป็นอย่างน้อย ก็เพื่อให้เนื้อฟิล์มเซทตัวให้ดีก่อน อันนี้ก็เช่นกันถ้าจะต้องทาครีมรองพื้นก็ควรจะให้ครีมกันแดดเซทตัวเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยลงรองพื้นนะคะ ระหว่างนั้นก็ไปแต่งตัวทำนู๊นนี่นั่นกันไปก่อน 

เน้นย้ำ!!! เวลาทาครีมกันแดด ต้องทาให้ทั่วถึงและเรียบสม่ำเสมอกัน จึงจะได้ประสิทธิภาพจากการป้องกัน UV ได้สูงสุด การแบ่งพื้นที่การทาเป็น 5 จุด หน้าผาก, แก้ม 2 ข้าง, จมูกและคาง ก็เพื่อให้เกลี่ยได้โดยง่ายและไม่ลืมที่จะทา เวลาทาสำคัญที่สุดคือต้องทาไปทิศทางเดียวกันไม่ควรทาย้อนไปย้อนมา เพราะจะทำให้การก่อตัวของ Sunscreen นั้นๆไม่เรียบเสมอกันเกิดเป็นเนื้อขุยๆขึ้นมาได้ และประสิทธิภาพการป้องกัน UV ก็ลดลงตามไปด้วยต้องระวัง

กลัวล้างครีมกันแดดออกไม่หมดจัง ทำไงดี?

หลายๆคนมักจะกลุ้มใจกับครีมกันแดดที่ใช้ว่าล้างออกยาก ยิ่งถ้าเจอกันแดดประเภทเหนียวหนึบติดทนนานกันน้ำด้วยแล้วละก็ยากขึ้นเป็นหลายเท่า และพอล้างไม่ออกล้างไม่สะอาดสิ่งที่ตามมาก็พวกสิวอุดตันทั้งหลายก็ตามมา คือจะบอกว่าโดยปกติแล้วต่อให้เป็นครีมกันแดดที่ติดทนนานเทพแค่ไหนถ้าคุณตั้งใจล้างให้สะอาดจริงๆมันก็ออกหมดได้ค่ะ ขอแค่ไม่ใช่ว่ากวักๆน้ำหรืองกเหลือเกินกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้า แนนว่าก็ไม่ยากนะที่จะล้างให้สะอาด ยิ่งถ้าใครแต่งหน้าก็ควรจะมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับเช็ดเครื่องสำอางค์เช็ดออกก่อนให้เรียบร้อย แล้วค่อยล้าง ให้เวลากับการล้างหน้าและปริมาณของผลิตภัณฑ์ล้งหน้าให้พอเหมาะ ไม่ใช่หน้าโบกไว้อย่างหนาแต่เราใช้เจลล้างหน้าหรืออะไรก็ตามเท่าเม็ดถั่วเขียว และเวลาการล้างก็แป๊บเดียว ถ้าแบบนี้ทำยังไงก็ไม่สะอาดค่ะสิวถามหาแน่นอน ดังนั้นถ้าทาครีมกันแดดอีกสิ่งนึงที่ควรจะให้ความใส่ใจก็คือขั้นตอนการทำความสะอาดนะคะ รวมทั้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดที่สามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจดและไม่ทำร้ายผิวหลังการการล้างด้วยจะดีที่สุด ดังนั้นแนนก็อยากให้ได้ทดลองใช้กันกับผลิตภัณฑ์ คู่หู DUO ในกลุ่ม THE ESSENTIAL™ ที่มีทั้ง ครีมกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UV ได้อย่างครอบคลุมโดยที่ไม่ไปเพิ่มความมันให้กับใบหน้า และเจลล้างหน้าที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดได้อย่างหมดจดโดยไม่ทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติทำให้หน้าไม่แห้งตึง 

4

สามารถอ่านบล็อคย้อนหลังเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเพิ่มเติมได้ที่ BLOG นี้เลยค่ะ

.ล หากสาวๆคนไหนสนใจอยากทราบข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม สามารถเข้ามาคุยกับแนนได้เลยนะคะ ง่ายสุด Line มาคุยกันได้เลยที่ ID : nanninarak

หรือติดตามได้ที่
Web: http://www.monique-store.com/beaute/index.html
FB Page : https://www.facebook.com/officialmoniquebeaute

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

http://www.medicineinanswers.com
http://www.myfirstbrain.com
www.divacreative.com
www.cprac.org
http://www.nejm.org

Leave a comment